นวัตกรรมการศึกษา
นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง การใช้ความคิดและวิธีการปฏิบัติใหม่ ๆ กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่เพื่อส่งเสริมให้กระบวนการทางการศึกษามีประสิทธิภาพ โดยสามารถแบ่งประเภทของนวัตกรรมได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
1. เทคนิคแลวิธีการ เป็นกลวิธีหรือกิจกรรม หรือวิธีสอน ทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2. สิ่งประดิษฐ์ เป็นวัสดุหรืออุปกรณ์ที่นำไปใช้ในการเรียนการสอน เช่น บทเรียนสำเร็จรูป ชุดการสอน เป็นต้น
ขั้นตอนการเกิดนวัตกรรม มีอยู่ด้วยกัน 3 ขั้นตอน ได้แก่
1. มีการคิดค้นประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา
2. มีการพัฒนาปรับปรุงสิ่งประดิษฐ์โดยผ่านกระบวนการทดลองหรือวิจัย
3. มีการนำไปปฏิบัติในสถานการณ์จริงแต่จำกัดพื้นที่การใช้งานแล้วนำผลมาวิเคราะห์
การยอมรับและปฏิเสธของนวัตกรรม
แน่นอนว่าเมื่อเกิดนวัตกรรมขึ้นมาย่อมต้องมีผู้ที่ยอมรับและปฏิเสธนวัตกรรมต่าง ๆ โดยผู้ที่ยอมรับยอมรับด้วยเหตุผลเพราะ มีความตื่นตัว ว่าเป็นของใหม่ สนใจอยากทดลองใช้อาจจะเป็นเพราะความต้องการของตนเองเดิมที่ตรงกับความสามารถของนวัตกรรมใหม่นั้น และคิดก่อนว่าเมื่อใช้แล้วจะเกิดผลอย่างไรบ้าง จากนั้นก็ทดลองใช้ เมื่อได้ผลตามที่คาดหวังแล้ว หากผลเป็นที่ถูกใจกับผู้ใช้ตัวผู้ใช้เองก็จะยอมรับในนวัตกรรมนั้น ๆ
แต่สำหรับผู้ที่ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธนวัตกรรมนั้นอันเนื่องมาจาก มีความเคยชินกับวิธีการเดิม ๆ ที่ ตนเองเคยใช้และพึงพอใจในประสิทธิภาพของวิธีการนั้น ๆ แม้ว่ามันจะสามารถแก้ไขปัญหาได้จริงแต่ยังไม่เคยทดลองใช้ทำให้ไม่มั่นใจในประสิทธิภาพ เพราะเนื่องจากนวัตกรรมเป็นสิ่งที่โดยมากแล้วบุคคลส่วนมากมีความรู้ไม่เพียงพอแก่การที่จะเข้าใจในนวัตกรรมนั้นๆ ทำให้มีความรู้สึกท้อถอยที่จะเข้าใจในนวัตกรรมนั้น ๆ ไป และ เพราะเห็นว่าเป็นของใหม่จึงมีราคาแพงจึงไม่อยากที่จะนำนวัตกรรมใหม่มาใช้
การนำนวัตกรรมมาใช้ในการศึกษา
แต่ถึงกระนั้นเนื่องด้วยว่าการศึกษาไม่เคยหยุดนิ่งย่อมต้องศึกษาสิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น จึงเห็นได้ว่าการศึกษากับนวัตกรรมมักอยู่คู่กันเสมอ และการนำนวัตกรรมมาใช้กับการศึกษานั้น เพื่อการวางแผนการจัดการเรียนการสอน สามารถนำมาใช้กับการพัฒนาการเรียนการสอน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการวางแผนการศึกษาอย่างมีระบบ ควรนำวิธีระบบมาใช้เพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเองให้มาก โดยจะต้องมีการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอน มีการเรียนแบบระบบเปิดคือเรียนด้วยตนเอง การเรียนแบบอิสระ และเพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้เรียนมากยิ่งขึ้นและอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนการสอน
แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ หมายถึง ศูนย์รวมของวิชาความรู้ที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติ บุคคล สิ่งประดิษฐ์ วัตถุ อาคาร สถานที่ ซึ่งมีอยู่กระจัดกระจาย ทั้งชุมชนเมืองและชุมชนชนบท อันเป็นขุมทรัพย์แห่งปัญญาที่แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของมนุษย์ เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ค้นพบได้อย่างไม่รู้จบ
ประเภทของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
ประเภทของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ จำแนกเป็น 4 ประเภทใหญ่ คือ
1 แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทบุคคล หมายถึง บุคคลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม มีผลงานได้รับการยกย่อง เป็นที่ยอมรับของสังคมซึ่งถือเป็นตัวอย่างต้นแบบกับบุคคลรุ่นหลัง
2 แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภททรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สภาพธรรมชาติที่มีอยู่แล้วซึ่งไม่ได้หมายถึงสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ เช่น ภูเขา ป่าไม้ ลำธาร ห้วย หนอง คลอง บึง แม่น้ำ และสัตว์ป่านานาชนิด เป็นต้น
3 แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทสื่อ หมายถึง สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ที่ใช้เป็นช่องทางการสื่อสาร แยกได้ 2 ประเภท คือ
(1) สื่อทางด้านกายภาพ ได้แก่ วัสดุ ลักษณะสิ่งพิมพ์ ฟิล์ม แผ่นภาพโปร่งใส เทปบันทึกภาพ เทปบันทึกเสียง แผ่น CD ชนิดเสียงและภาพ เป็นต้น อุปกรณ์ เป็นตัวช่องทางผ่านในลักษณะเครื่องฉาย เครื่องเสียงชนิดต่างๆ
(2) สื่อทางด้านวิธีการ ได้แก่ รูปแบบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ ทั้งการใช้เทคโนโลยีพื้นบ้าน และเทคโนโลยีระดับสูง ได้แก่
2.1) สื่อท้องถิ่น ประเภทเพลง เช่น หมอลำ หนังตะลุง ลำตัด อีแซว ลำนำเพลงซอ เพลงพวงมาลัย เพลงฉ่อย และนิทานพื้นบ้าน เป็นต้น
2.2) สื่อกิจกรรม เช่น หมากเก็บ หมากขะเหย่ง ตี่จับ มอญซ่อนผ้า เดินกะลา เป็นต้น
4 แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ประเภทวัตถุและอาคารสถานที่ หมายถึง วัตถุและอาคารสถานที่ ที่มีศักยภาพเป็นแหล่งความรู้ด้วยตัวของมันเอง สามารถสื่อความหมายโดยลำพังตัวเอง เช่น สถาปัตยกรรมด้านการก่อสร้าง จิตรกรรมภาพฝาผนัง ปูชนียวัตถุด้านประวัติศาสตร์ ชิ้นส่วนของธรรมชาติที่ให้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ โบราณวัตถุทางด้านศาสนา พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น
ประโยชน์ของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่มีต่อการศึกษา
1. ทำให้ผู้เรียนเห็นถึงสภาพจริงของสิ่งที่จะศึกษา
2. เข้าใจง่าย ว่าสิ่งนี้คืออะไร เช่น นี้คือโบราณสถาน นี้คือห้องปฎิบัติการ เป็นต้น
3. ดึงดูดความสนใจของผู้เรียน เพราะผู้เรียนไม่ค่อยชอบที่จะต้องนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียน
4. สร้างแรงจูงใจ
5. ผู้เรียนมีความพึงพอใจในการออกนอกห้องเรียน
การนำแหล่ทรัพยากรการเรียนรู้มาใช้กับการเรียนการสอน
นอกจากเรื่องของการออกนอกสถานที่แล้วยังมีอีกหลายสิ่งที่เด็กสนใจและอยากที่จะเรียนในโรงเรียน และที่สำคัญการออกไปนอกสถานที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะมาก จึงได้เกิดแนวคิดที่จะนำสิ่งเหล่านี้เข้ามาใช้ในโรงเรียนเพื่อเพิ่มความสามารถในการสอนและลดค่าใช้จ่ายด้วยการจัดทำห้องแห่งการเรียนรู้ใจโรงเรียน เช่น ห้องปฏิบัติการ/ห้องทดลอง ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องจัดแสดง วัสดุสิ่งพิมพ์สื่อต่าง ๆ รวมไปถึงการเชิญวิทยากรจากข้างนอกมาให้ความรู้ในโรงเรียน ทั้งนี้ก็เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและพิสูจน์ได้ และอาจเป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หาไม่ได้จากหนังสือ ตำรา ในห้องเรียนก็เป็นได้
คอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนการสอน
องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
1. องค์ประกอบทางด้านฮาร์ดแวร์ (Hardware) เป็นองค์ประกอบของตัวเครื่อง ที่สามารจับต้องได้ เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ เทป แป้นพิมพ์ ดิสก์ หรือแม้แต่วงจรไฟฟ้าในตัวเครื่อง เป็นต้น
2. องค์ประกอบทางด้านซอฟต์แวร์ (Software) เป็นกลุ่มของคำสั่งซึ่งเรียกว่า โปรแกรม ที่ถ่ายทอดแนวความคิดของผู้เขียนโปรแกรม เพื่อสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
3. องค์ประกอบทางด้านบุคลากร (Peopleware) เนื่องจากคอมพิวเตอร์ถึงจะมีชุดคำสั่งที่ยอดเยี่ยมแค่ใหนแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำงานเองได้ต้องมีผู้สั่งให้ทำงานจึงจำเป็นต้องมีสิ่งที่คอยสั่งงานนั้นก็คือ มนุษย์นั้นเอง
4. องค์ประกอบทางด้านข้อมูล (Data) เป็นข้อมูลที่จะนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์พร้อมกับโปรแกรม เพื่อทำการประมวลผลหรือสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง การนำเสนอบทเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ โดยนำเอาบทเรียนที่เตรียมไว้อย่างเป็นระบบ มานำเสนอตามลำดับขั้นตอนและมีการโต้ตอบชมเชย หรือมีการย้อนกลับไปทบทวนเพื่อกระตุ้นความสนใจ โดยคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จะช่วยสอนเนื้อหาวิชา ซึ่งอาจเป็นตัวหนังสือ และกราฟิก ถามคำถาม รับคำตอบ ตรวจคำตอบ และแสดงผลการเรียน ให้ผู้เรียนได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังสามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์อย่างอื่น เช่น เครื่องบันทึกเสียง วีดิทัศน์ เป็นต้น
ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีดังนี้
1. การแก้ปัญหา (Problem Solving) คอมพิวเตอร์ประเภทนี้จะเน้นให้ฝึกการคิดการตัดสินใจ โดยมีการกำหนดกฎเกณฑ์ให้แล้วผู้เรียนพิจารณาไปตามเกณฑ์ มีการให้คะแนนหรือน้ำหนักกับเกณฑ์
2. การสร้างสถานการณ์จำลอง (Simulation) โปรแกรมประเภทนี้เป็นโปรแกรมที่จำลองสถานการณ์ในชีวิตจริงของผู้เรียนโดยมีเหตุการณ์สมมุติต่าง ๆ อยู่ในโปรแกรม
3. ผู้เรียนแบบเฉพาะรายตัว (Tutoring) เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมาในลักษณะของบทเรียนโปรแกรม เป็นการเลียนแบบการสอนของครู
4. การฝึกและปฏิบัติ (Drill and Practice) แบบการฝึกและปฏิบัติส่วนใหญ่จะใช้เสริมเมื่อครูผู้สอนบทเรียนตัวอย่างไปแล้วและให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดกับคอมพิวเตอร์เพื่อวัดระดับหรือให้นักเรียนมาฝึกจนถึงระดับที่ยอมรับได้
5. บทสนทนา (Dialogue) เป็นการเลียนแบบการสอนในห้องเรียนกล่าวคือ พยายามให้เป็นการพูดคุยระหว่างผู้สอนและผู้เรียน เพียงแต่ว่าแทนที่จะใช้เสียง ก็เป็นตัวอักษรบนจอภาพแล้วมีการสอนด้วยการตั้งปัญหาถาม ลักษณะในการใช้แบบสอบถามก็เป็นการแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง
6. การไต่ถาม (Inquiry) ผู้สอนจะรวบรวมเนื้อหาเขียนโปรแกรม (Software) ขึ้นโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อ ผู้เรียนจะตั้งปัญหา หรือวิธีการแก้ปัญหา (Problem Solving) ป้อนคำถามเข้าคอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์จะให้คำตอบ การเรียนจะดำเนินไปเช่นนี้ จนกว่าผู้เรียนจะสามารถแก้ปัญหา หรือเข้าใจปัญหา
7. การสาธิต (Demonstration) การสาธิตโดยใช้คอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายกับการสาธิตของครูแต่การสาธิตโดยใช้คอมพิวเตอร์น่าสนใจกว่า
8. การเล่นเกม (Gaming) เกมคอมพิวเตอร์ที่ใช้เพื่อการเรียนการสอนนั้น เป็นสิ่งที่ใช้เพื่อเร้าใจผู้เรียนได้เป็นอย่างดี โปรแกรมประเภทนี้เป็นแบบพิเศษของแบบจำลองสถานการณ์ โดยมีเหตุการณ์ที่มีการแข่งขัน ซึ่งสามารถที่จะเล่นได้โดยนักเรียนเพียงคนเดียวหรือหลายคน มีการให้คะแนน มีการแพ้ชนะ
9. การทดสอบ (Testing) การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน มักจะต้องรวมการทดสอบเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนไปด้วย โดยผู้ทำต้องคำนึงถึงหลักการต่าง ๆ คือ การสร้างข้อสอบ การจัดการสอบ การตรวจให้คะแนน การวิเคราะห์ข้อสอบ การสร้างข้อสอบและการจัดให้ผู้สอนสุ่มเลือกข้อสอบเองได้
ประโยชน์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ข้อดีของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีข้อดีดังนี้
1. สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้
2. ดึงดูดความสนใจ โดยใช้เทคนิคการนำเสนอด้วยกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว แสง สี เสียง สวยงามและเหมือนจริง
3. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และสามารถเข้าใจเนื้อหาได้เร็ว ด้วยวิธีที่ง่ายๆ
4. ผู้เรียนมีการโต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์กับคอมพิวเตอร์ และบทเรียน มีโอกาสเลือกตัดสินใจ และได้รับการเสริมแรงจากการได้รับข้อมูลย้อนกลับทันที
5. ช่วยให้ผู้เรียนมีความคงทนในการเรียนรู้สูง เพราะมีโอกาสปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ซึ่งจะเรียนรู้ได้จากขั้นตอนที่ง่ายไปหายากตามลำดับ
6. ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามความสนใจ และความสามารถของตนเอง บทเรียนมีความยืดหยุ่น สามารถเรียนซ้ำได้ตามที่ต้องการ
7. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต้องควบคุมการเรียนด้วยตนเอง มีการแก้ปัญหา และฝึกคิดอย่างมีเหตุผล
8. สร้างความพึงพอใจแก่ผู้เรียน เกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียน
9. สามารถรับรู้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้อย่างรวดเร็ว เป็นการท้าทายผู้เรียน และเสริมแรงให้อยากเรียนต่อ
10. ครูมีเวลามากขึ้นที่จะช่วยเหลือผู้เรียนในการเสริมความรู้ หรือช่วยผู้เรียนคนอื่นที่เรียนก่อน
11. ประหยัดเวลา และงบประมาณในการจัดการเรียนการสอน โดยลดความจำเป็นที่จะต้องใช้ครูที่มีประสบการณ์สูง หรือเครื่องมือราคาแพง เครื่องมืออันตราย
12. ลดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างโรงเรียนในเมือง และชนบท เพราะสามารถส่งบทเรียนฯ ไปยังโรงเรียนชนบทให้เรียนรู้ได้ด้วย
ข้อจำกัดของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนมีข้อจำกัดดังนี้
1. ราคาอุปกรณ์ที่ใช้ค่อนข้างสูง เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ทำให้ได้จำนวนเครื่องจำกัด ไม่เพียงพอต่อจำนวน
ของนักเรียน
2. นักเรียนต้องมีพื้นฐานการใช้คอมพิวเตอร์พอสมควร จึงจะสามารถทำให้การเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบรรลุไปด้วยดี ไม่ต้องสอนความรู้คอมพิวเตอร์ให้เป็นผลกระทบต่อการเรียนรู้วิชาที่สอนในขณะนั้น
3. เกี่ยวกับแสงของจอภาพทำให้ประสิทธิภาพทางสายตาสำหรับนักเรียนที่ไม่เคยชินกับการมองจอภาพนาน ๆ อาจทำให้นักเรียนมีอาการเบลอไม่เข้าใจในบทเรียนได้
4. คุณสมบัติของเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ทันสมัย หรือไม่ครบองค์ประกอบ เช่น จอภาพขาวดำ ไม่มีการ์ดเสียง ไม่มีเครื่อง CD-ROM หรือที่เป็นรุ่นเก่า อาจไม่สามารถใช้กับบทเรียนที่สร้างขึ้นในยุคปัจจุบันได้
5. ผู้สอนไม่มีความสามารถในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นขณะทำการสอน เช่น โปรแกรมมีปัญหา หรือเครื่องคอมพิวเตอร์มีปัญหา เป็นต้น
6. ความแตกต่าง และปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการใช้ soft ware ทำให้ไม่สามารถใช้กับบทเรียนที่จะใช้สอนได้
7. การใช้สภาพแวดล้อมการทำงานบนวินโดวส์ เสียงและภาพจะถูกเก็บไว้ในรูปของ Files การกำหนดเส้นทางที่ถูกต้องและสมบูรณ์ จะทำให้การใช้มีประสิทธิภาพ ซึ่งหากนำไปใช้กับเครื่องอื่นแล้ว อาจไม่สามารถใช้บทเรียนได้สมบูรณ์
8. บทเรียนมีขนาดใหญ่ อาจมีปัญหาเกี่ยวกับ File เช่นจากไวรัส แรงดันไฟฟ้า หน่วยความจำน้อย ทำให้การ ใช้เกิดปัญหาได้
การออกแบบและพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
สิ่งที่สำคัญมากที่สุดประการหนึ่งของการออกแบบและพัฒนาคอมพิวเตอร์ช่วยสอนต้องนำมาพิจารณาในการออกแบบบทเรียนก็คือ การเรียนรู้ของมนุษย์ การออกแบบบทเรียนควรทำความเข้าใจว่ามนุษย์มีการเรียนรู้อย่างไร เพื่อสามารถออกแบบ และจัดประสบการณ์การเรียนของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ให้สอดคล้องกับการ เรียนรู้ของมนุษย์ เพื่อให้ผู้เรียนที่เรียนจาก บทเรียนสามารถเรียนเนื้อหาบทเรียนได้รวดเร็ว และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงสุด เมื่อรู้ว่าผู้เรียนต้องการการเรียนรู้แบบใดแล้ว ก็นำมาออกแบบสร้างโปรแกรมช่วยสอนขึ้นมา แล้วเมื่อนำไปใช้จริงแล้วต้องมีการประเมินผลของการใช้งานเพื่อหาข้อบกพร่องแล้วนำมาพัฒนาโปรแกรมช่วยสอนต่อไป
การใช้และการประเมินผล
การใช้งาน สำหรับการใช้งานนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงถึงก็คือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ช่วยผู้สอนในช่วงใดช่วงหนึ่ง ไม่ใช่เข้ามาแทนที่ผู้สอนเพราะสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่งเราออกคำสั่งไปเท่าไร มันก็ทำตามเท่านั้น และเมื่อนักเรียนเกิดปัญหาไม่เข้าใจในเนื้อหา ก็ไม่สามารถจะปรึกษาได้ หากต้องการจะแก้ปัญหาตรงนี้ผุ้เขียนต้องคิดอย่างละเอียดรอบคอบและต้องเขียนโปรแกรมให้ครบถ้วนครอบคลุมทุกปัญหาซึ่งต้องใช้เวลานานในการเก็บรวบรวมข้อมูลและสร้าง นอกจากนี้ยังไม่ควรนำไปใช้งานกับการสอนที่เป็นปฏิบัติ ควรนำไปใช้กับเนื้อหาที่เป็นทฤษฎีที่เป็นสิ่งที่ตายตัวเปลี่ยนแปลงไม่ได้และนำเสนอมากกว่าเช่น ประวัติศาสตร์ พิมพ์ดีด เป็นต้น
การประเมินผล การประเมินผลด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้น ไม่ใช่เรื่องยากในการทำ แต่ยากในการคิดข้อสอบมากกว่าเพราะอย่างที่ทราบคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นสิ่งที่ตายตัว การจะออกข้อสอบให้อยู่ในเนื้อหานั้นทำได้ แต่ข้อสอบที่สูงกว่าจำนั้นสร้างยาก และต้องเป็นข้อสอบที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ไม่ควรเป็นข้อสอบประเภทเขียนข้อความ หากต้องเป็นประเภทที่ต้องเขียนข้อความเพื่อความถูกต้องจึงจำเป็นจะต้องตรวจเองเพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ต้องทำตามคำสั่งพิจารณาเองไม่ได้ ไม่มีความยืดหยุ่น ไม่เหมาะกับข้อสอบประเภทนี้ ข้อสอบที่สามารถใช้ได้ต้องเป็นที่สามารถเฉลยได้เลย ครอบคลุมทุกเนื้อหา มีความถูกต้องและเป็นปรนัยสูง เช่น ข้อสอบแบบเลือกตอบ จับคู่ เป็นต้น
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้จัดการสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ การเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผล การแสดงผลลัพธ์ การทำสำเนา และการสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสมและสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
ประเภทของเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
1. อินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอน
2. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
3. หนังสืออิเล็กทรอนิคส์
4. การเรียนการสอนผ่านดาวเทียม
5. วีดิทัศน์
6. สื่อประสม
ข้อดีและข้อจำกัดของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ข้อดี
1. มีความถูกต้อง รวดเร็ว และแม่นยำ
2. สามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้
3. ง่ายต่อการนำไปใช้
4. สามารถปรับปรุงได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว
5. มีความทันสมัยและเป็นปัจจุบัน
ข้อจำกัด
1. เทคโนโลยีบางตัวมีราคาแพง
2. ยากต่อการจัดทำ
3. มีความซับซ้อน
4. ในบางท้องถิ่นไม่สามารถใช้งานได้
5. เกิดการต่อต้านของเทคโนโลยีของบุคคลากรในหน่วยงาน
6. ช่องทางในการแลกเปลี่ยนและนำเสนอมีจำกัด
แนวทางการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการศึกษา
แนวทางในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการศึกษานั้นสิ่งแรกที่จำเป็นต้องคำนึงถึงคือ ความจำเป็นในการใช้งาน ว่าในหน่วยงานมีความจำเป็นมากน้อยแค่ใหนในการใช้งาน จากนั้นต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้งานของสารสนเทศเมื่อเทียบกับของเดิมว่าดีกว่าอย่างไรหากไม่ต่างจากของเดิมมากนักก็ไม่สมควรที่จะนำมาใช้ แต่เมื่อเห็นว่าก่อประโยชน์มากก็สมควรที่จะเปลี่ยนมาใช้ และที่สำคัญคือความพร้อมของหน่วยงาน หากมีความต้องการเทคโนโลยีมากแต่ไม่มีงบประมาณและความพร้อม เช่น สถานที่ สิ่งอำนวยต่างๆ หากอยากใช้คอมพิวเตอร์แต่ไม่มีไฟฟ้าใช้ก็ไม่สมควรที่จะนำเทคโนโลยีตัวนี้มาใช้ เป็นต้น
การประเมินผลการใช้งาน
ก็ต้องประเมินผลจากสิ่งที่ได้รับ ในรูปของสิ่งที่สามารถวัดและตรวจสอบได้จึงจะทราบได้ว่าเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้งานนั้นก่อให้เกิดผลเพียงใด
งานจากการระดมสมอง(อันน้อยนิดและไร้รอยหยัก)