การอภิปรายเรื่องการสื่อสารมวลชน

สื่อมวลชน หมายถึงอะไร
พจนานุกรมการสื่อสารมวลชน ให้ความหมายของการสื่อสารมวลชนไว้ โดยสรุปว่า การสื่อสารมวลชน เป็นแบบหนึ่งของการสื่อสาร สามารถกระจายเรื่องราวความรู้ เปิดเผยไปสู่คนส่วนใหญ่ ซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนกัน และไปถึงผู้รับพร้อมกัน มีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวโน้มทางวัฒนธรรมของมวลชน คำว่า " การสื่อสารมวลชน" และคำว่า " สื่อมวลชน" มีความหมายที่แตกต่างกัน คือ การสื่อสารมวลชน เป็นกระบวนการหรือวิธีของการสื่อสาร ที่รวมองค์ประกอบของการสื่อสารทั้งหมด ส่วนสื่อมวลชนนั้น หมายถึง สื่อหรือช่องทาง ที่ใช้ในการสื่อสารมวลชน อันได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร ฯลฯ ซึ่งเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของการสื่อสาร (ปรมะ สตะเวทิน 2526 : 126 - 127 ) การใช้คำสองคำนี้บางครั้งคนทั่วไปใช้ในความหมายอย่างเดียวกัน โดยถือว่า สื่อสารมวลชน นั้น มิใช่เพียงสื่อหรือช่องทางในการสื่อสารเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงระบบของสื่อทั้งหมด เช่น บุคลากร อันได้แก่ นักจัดรายการ ผู้สื่อข่าว นักหนังสือพิมพ์ รวมไปถึง ช่องทางของการสื่อสาร ได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ด้วย คณะกรรมการราชบัณฑิตยสถาน ได้อนุโลมให้ใช้คำสองคำนี้แทนกันได้ (อนันต์ธนา อังกินันทน์ และ เกื้อกูล คุปรัตน์ 2532 : 7)
การสื่อสารมวลชน เป็นกระบวนการส่งข่าวสาร ความรู้สึกนึกคิด ไปยังคนจำนวนมาก ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Mass CommunicationMass หมายถึง มวลชน หรือประชาชนผู้รับสารทั่วไป ซึ่งมีจำนวนมาก ส่วนคำว่า Communication หมายถึง การสื่อสารหรือการสื่อความหมาย ดังนั้นความหมายโดยทั่วไปของการสื่อสารมวลชน จึงหมายถึงการสื่อสารหรือการสื่อความหมายระหว่างกลุ่มบุคคล หรือองค์กรหนึ่ง กับ ประชาชนทั่วไป เป็นกระบวนการสื่อสารที่มีความซับซ้อน เนื่องจากมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง มีปริมาณของข่าวสารมาก จำเป็นต้องใช้เครื่องมือ บุคลากร หรือสื่อ (Media) ที่มีประสิทธิภาพสูงเพียงพอ ที่จะนำข่าวสารไปถึงผู้รับจำนวนมาก สื่อที่ใช้เป็นตัวกลางในการส่งข่าวสารของการสื่อสารมวลชน จึงเรียกว่า สื่อมวลชน (Mass Media)

สื่อมวลชนมีบทบาทหน้าที่อะไรบ้าง
ในสภาพสังคมยุคปัจจุบันที่อาจเรียกได้ว่าเป็น สังคมยุคสื่อสาร ชึ่งความเจริญก้าวหน้าหรือความอยู่รอดของสังคมขึ้นอยู่กับคนในสังคมได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องทันเวลา และปรับตัวได้อย่างเหมาะสม สื่อมวลชนต่างๆ จึงมีบทบาทสำคัญในการเสนอข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ตลอดจน ชี้นำความคิดของคนในสังคมด้วยสื่อมวลชนแต่ละชนิดมีลักษณะ และคุณสมบัติที่แตกต่างกัน จึงมีความพร้อมหรือความสามารถที่จะแสดงบทบาทหน้าที่ ในขอบเขตที่แตกต่างกันด้วย นักการศึกษา และนักสื่อสารมวลชน ได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชนโดยรวมๆ ที่สำคัญสรุปได้ดังนี้ คือ
1. การเสนอข่าวหมายถึงการรายงานเหตุการณ์ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบ โดยเริ่มจากการแสวงหาเหตุการณ์ ข้อเท็จจริงที่เชื่อว่าประชาชนจะให้ความสนใจ หรือเรียกว่า การหาข่าว แล้วนำมารวบรวม คัดเลือก และนำออกเผยแพร่สู่ประชาชน เช่น ข่าวความเคลื่อนไหวทางด้านการเมือง ข่าวกีฬา ข่าวอุบัติเหตุ ข่าวอาชญากรรม การเสนอข่าวของสื่อมวลชน เป็นการรายงานเหตุการณ์ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่แทรกความคิดเห็นใดๆ ลงไป ซึ่งคุณค่าการเสนอข่าวนั้นขึ้นอยู่กับความรวดเร็ว ถูกต้อง และมีรายละเอียดเพียงพอ สื่อมวลชนที่มีบทบาทมากในการเสนอข่าว ได้แก่ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์
2. การเสนอความคิดเห็นในสังคมประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องราวต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อบุคคลและสังคม แต่ในทางปฎิบัติประชาชนมีจำนวนมาก จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นโดยตรง สื่อมวลชนซึ่งมีฐานะเป็นองค์กรเผยแพร่ข่าวสารอยู่แล้ว จึงได้เข้ามามีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นแทนประชาชนในเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อเสนอต่อสาธารณชนและรัฐบาล ในรูปของบทความ สารคดี บทวิเคราะห์วิจารณ์ บทบรรณาธิการ โดยมีจุดมุ่งหมายในเชิงสร้างสรร โน้มน้าวจิตใจ ชี้นำใปสู่การแก้ปัญหาอย่างเหมาะสมความคิดเห็นของสื่อมวลชน ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องทางสังคม การเมือง สิทธิ เสรีภาพของประชาชน หรือ สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนเอง ซึ่งมักก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองค์กรสื่อมวลชนกับรัฐบาล กลุ่มอำนาจ หรือกลุ่มผลประโยชน์อยู่เสมอ ทั้งนี้เนื่องจากการสื่อสารมวลชนนั้น มีการตอบสนองกลับ จากผู้รับข่าวสารเพียงเล็กน้อย ความคิดเห็นของสื่อมวลชนในบางครั้งจึงมิใช่เป็นตัวแทนความคิดเห็นของประชาชนอย่างแท้จริง สื่อมวลชนจึงต้องสำรวจประชามติ เป็นระยะๆ เพื่อให้สามารถเสนอความคิดได้สอดคล้องกับความคิด หรือความต้องการของประชาชนส่วนโหญ่ สื่อมวลชนที่มีบทบาทสำคัญในการแสดงความคิดเห็น ได้แก่ หนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์
3. ให้ความบันเทิงได้แก่ การนำเสนอเรื่องราวที่มีจุดมุ่งหมาย ให้ผู้รับเกิดความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ผ่อนคลายความเครียดในชีวิตประจำวัน สื่อมวลชนแต่ละชนิดต่างก็มีจุดประสงค์ ที่จะให้ผู้รับ ได้รับทั้ง ข่าวสาร และความบันเทิง มากน้อยแตกต่างกันออกไปตามชนิดของสื่อมวลชน เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร มีเนื้อหาทั้งในเชิงวิชาการและบันเทิง วิทยุ โทรทัศน์ ส่วนใหญ่เป็นรายการประเภทบันเทิง เช่น ละคร เกมโชว์ ภาพยนตร์ เพลง เป็นต้นการพิจารณาว่าเนื้อหา หรือรายการสื่อมวลชนใด ให้คุณค่าทางด้านบันเทิง หรือไม่เพียงใดนั้น จะต้องพิจารณาทั้งในด้านจุดมุ่งหมายของผู้นำเสนอ และเจตคติของผู้รับด้วย สื่อมวลชนที่มีบทบาทมากในการให้ความบันเทิง ได้แก่ โทรทัศน์ วิทยุ ภาพยนตร์ วารสาร นิตยสาร
4. ให้การศึกษาเป็นการให้ข้อมูล ข่าวสาร แก่ประชาชนทั้งความรู้ในด้านวิชาการเฉพาะสาขา และความรู้ทั่วไป โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้คนเกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปในทางที่ดีขึ้น เช่น หนังสือพิมพ์นำเสนอบทความที่ให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การเกษตร อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและศิลปวัฒนธรรม โทรทัศน์ นำเสนอรายการ สารคดี การอภิปราย หรือการสนทนาปัญหา ตลอดจนรายการเพื่อการศึกษา ในวิชาการเฉพาะสาขาโดยตรง เช่น รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช รายการโทรทัศน์การศึกษาผ่านดาวเทียมของกรมการศึกษานอกโรงเรียน5. การประชาสัมพันธ์ และโฆษณาการประชาสัมพันธ์ (Public Relation ) เป็นกระบวนการสร้างความสัมพันธ์กับประชาชนขององค์กรต่างๆ รวมทั้งองค์กรสื่อมวลชนเอง เพื่อให้ประชาชนมีเจตคติที่ดีต่อองค์กร ส่งเสริมให้องค์กร สามารถดำเนินกิจการได้ตามเป้าหมายการโฆษณา เป็นการนำเสนอข่าวสารข้อมูล รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เช่น ผลงาน สินค้าหรือการบริการต่างๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อชักชวน โน้มน้าวจิตใจให้คนรู้สึกตาม ปฏิบัติตาม หรือซื้อสินค้าและบริการต่างๆ คำว่า " โฆษณา" ในภาษาไทยปัจจุบันถูกใช้ในความหมายที่แตกต่างกัน หลายความหมาย คือ
4.1 การโฆษณาสินค้า (Advertising) เป็นการโฆษณาที่พบเห็น และรู้จักกันอยู่ทั่วไป โดยมีจุดประสงค์ให้สามารถขายสินค้าได้มากที่สุด
4.2 การโฆษณาเผยแพร่ (Publiccity) เช่น การโฆษณาเผยแพร่ผลงานของรัฐบาล แจ้งความก้าวหน้าของงานที่กำลังทำอยู่ รวมไปถึงการเผยแพร่ความรู้ เช่น การวางแผนครอบครัว การป้องกันยาเสพติด ประโยชน์ของการออกกำลังกาย
4.3 การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ได่แก่ การเสนอข่าวสารในเชิง ชักชวน ปลุกระดม ชี้นำความคิด เช่น การโฆษณาชักชวนของลัทธิการเมือง หรือศาสนาต่างๆการโฆษณาสินค้า ส่วนใหญ่มีความจำเป็นต้องอาศัย สื่อมวลชน และองค์กรสื่อมวลชนเอง ไม่ว่าจะเป็นวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร ต่างก็มีรายได้หลักจากโฆษณาสินค้า จึงเป็นการเอื้อประโยชน์กัน ระหว่างสื่อมวลชน และเจ้าของสินค้าหรือกิจการต่างๆ ทำให้สื่อมวลชน กับการโฆษณาสินค้าเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก และมีแนวโน้มที่จะใช้สื่อมวลชนเพื่อการโฆษณา เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในสื่อมวลชนทุกประเภท จะเห็นได้จากหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร ที่มีผู้นิยมอ่านมาก หลายฉบับในปัจจุบันใช้พื้นที่สำหรับการโฆษณาสินค้า และประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ มากกว่า 50% ของเนื้อที่ทั้งหมด วิทยุ โทรทัศน์ ก็เช่นกัน ซึ่งใช้เวลาสำหรับการโฆษณามาก ทั้งโดยวิธีเช่าเหมาช่วงเวลาจัดรายการสำหรับโฆษณาโดยเฉพาะ และวิธีการใช้รายการโฆษณาสั้นๆ (Spot ) เป็นระยะๆ แม้ว่าการโฆษณาจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อประชาชนผู้บริโภค ทำให้ทราบรายละเอียด เกี่ยวกับสินค่าและการบริการต่างๆ ช่วยให้เลือกซื้อสินค้าได้ไม่ผิดพลาด แต่การโฆษณาที่มีมากเกินไป อาจทำให้เกิดผลเสียอย่างน้อย 2 ประการ คือ
1. การรับรู้ข่าวสาร บกพร่องขาดตอน โดยเฉพาะในสื่อทางวิทยุ โทรทัศน์
2. ทำให้ประชาชนมีพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากการโฆษณาทางสื่อมวลชนมีอิทธิพลอย่างสูงในการจูงใจ ให้เกิดความต้องการบริโภคสินค้ามากขึ้น การโฆษณาจึงอาจเป็นการส่งเสริมให้คนใช้จ่ายเกินความจำเป็น หรือไม่เหมาะสมกับฐานะ

สื่อมวลชนที่มีอิทธิพลต่อสังคมมากที่สุดในปัจจุบันคือ เพราะอะไร
สื่อมวลชนถือเป็นสถาบันทางสังคมหนึ่งซึ่งนอกเหนือไปจากครอบครัว ศาสนา โรงเรียน และที่ทำงาน ที่เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการครอบงำความคิดของสังคม โดยเมื่อสื่อมวลชนให้ความสนใจต่อประเด็นหนึ่งประเด็นใดเป็นพิเศษและนำเสนอประเด็นนั้นๆ ออกสู่มวลชนหรือสาธารณชนให้รับทราบเป็นประจำสืบเนื่องกันไปสักระยะหนึ่ง ก็จะส่งผลให้มวลชนหรือสาธารณชนส่วนใหญ่เกิดความคล้อยตาม จนทำให้ประเด็นนั้นๆ กลายเป็น "วาระทางสังคม" ในที่สุดจากการที่สื่อมวลชนมีอิทธิพลต่อความคิด และมีผลต่อการดำเนินกิจกรรมของสังคมนั้น ทำให้สื่อมวลชนจำเป็นต้องมีจิตสำนึกที่ดีในการเป็นผู้ถ่ายทอด มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีความเป็นกลาง "มนต์เสน่ห์อมตะของสื่อ" ที่จะสามารถยึดครองใจประชาชนได้

มีความคิดเห็นอย่างไร? กับคำกล่าวที่ว่าสื่อมวลชนเปรียบเหมือนดาบสองคม
สื่อมวลชนในที่นี้หมายรวมถึงหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ สื่อมวลชนเหล่านี้กำลังมีบทบาทอย่างกว้างขวางที่สุดในการให้ข่าว ให้ความรู้ และโน้มน้าวมติมวลชน ในขณะที่ให้ความบันเทิงไปในตัวด้วย ประชาชนโดยทั่วไปต้องใช้เวลาส่วนมากไปกับการประกอบอาชีพของตน ไม่มีเวลาจะเดินทางไปสืบหาข่าวและค้นคว้าหาความรู้รอบตัวด้วยตนเอง จึงต้องพึ่งสื่อมวลชนช่วยประมวลข่าวที่สำคัญและเลือกเฟ้นความรู้รอบตัวที่เป็นประโยชน์ เพื่อใช้เวลาพักผ่อนหย่อนใจกับสื่อมวลชนให้ได้ประโยชน์ไปในตัวด้วย ถ้าสื่อมวลชนให้ข่าวผิดๆ ประชาชนก็จะยึดถือข่าวผิดสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์และตัดสินใจในปัญหาต่างๆ สื่อมวลชนให้ความรู้รอบตัวหนักไปในทางใด ประชาชนก็จะมีความรู้หนักไปทางด้านนั้น ทางด้านธุรกิจสื่อมวลชนเอง ก็ต้องการให้นักสื่อมวลชนตอบสนองความสนใจ และความต้องการของประชาชน เพื่อได้รับความนิยมชมชอบ เพราะนั่นหมายถึงผลกำไรของกิจการ บ่อยครั้งทีเดียวที่ความต้องการของประชาชนไม่ตรงกับเป้าหมายและอุดมคติของอาชีพสื่อมวลชน นักสื่อมวลชนจึงจำเป็นจะต้องมีจรรณยาบรรณสำหรับตัดสินใจได้ว่า ในกรณีต่างๆที่มีปัญหา พึงตัดสินใจและปฏิบัติตนอย่างไร สื่อมวลชนเป็นเสมือนดาบสองคมที่คมกริบ ผู้ใช้ดาบเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้สำนึกในความรับผิดชอบอย่างมาก

มีความคิดเห็นกับการจัดเรตติ้งทางทีวีอย่างไร ?
คิดว่าทุกอย่างใช่ว่าจะอิสระเสรีภาพจะฟรีไปเสียหมด เพราะการให้สิทธิเสรีภาพโดยไร้ทิศทางกรอบการควบคุม คงเป็นเพียงแค่อุดมการณ์เพ้อฝัน ดังนั้น ควรคำนึงถึงความสมดุลและความเป็นจริงมากที่สุด ถ้าถามว่าต่างชาติเขามีเรตติ้งและเวลาควบคุมชัดเจนหรือไม่ มีแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา อังกฤษ หรือออสเตรเลียเขาต่างมีกันหมด เขามีมาตรฐานที่ชัดเจน แต่บ้านเราผลประโยชน์มันเยอะ เพราะการเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของตน แต่ในมุมกลับกันถ้าถามว่าการจัดเรตติ้งและการกำหนดเวลาสามารถแก้ไขและปรับปรุงวงการโทรทัศน์ได้ไหม คงได้แค่บางส่วน เพราะสุดท้ายขึ้นอยู่กับหน่วยจุลภาค หรือสถาบันครอบครัวนั่นเอง ซึ่งผู้ประกอบการต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยเช่นกัน
สิ่งที่คิดนี้มิใช่เป็นการโจมตีกลุ่มผู้ประกอบการไปเสียหมด แต่แลเห็นว่าเป็นเวลาอันสำคัญในการยกระดับสร้างมาตรฐานให้แก่วงการบันเทิงในบ้านเรา ซึ่งต้องคำนึงถึงการคืนกำไรแก่สังคมและประเทศชาติในระยะยาวเป็นหลัก

SMS มีผลดีผลเสียกับสังคมอย่างไร ?
SMS เป็นการสื่อสารโดยการส่งข้อความจากแหล่งส่งถึงผู้รับ มีผลดีต่อสังคมในเรื่องของการสื่อที่ไม่สามารถสื่อสารเป็นคำพูดออกมาได้ หรือต้องการทำเป็นตัวหนังสือเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย ไม่ขาดตอน และยังสามารถนำกลับมาดูซ้ำได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นการแจ้งข่าวสารสาระความรู้ให้กับผู้รับ โดย SMS นี้สามารถเลือกได้ว่าเราต้องการที่จะส่งให้ใคร สามารถกำหนดจำนวนผู้รับได้ ดังนั้นยังสามารถเก็บความลับได้อีกด้วย ผลกระทบที่เป็นผลเสียแก่สังคมนั้น คิดว่ามีน้อยมาก เพราะไม่สามารถส่งให้กับผู้ที่เราไม่รู้จักได้ แต่หากเป็นการแกล้งส่งให้ผู้รับโดยการส่งที่ผู้รับเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา อาจเป็นมิจฉาชีพก็เป็นได้ อีกประการหนึ่งคือ การส่งแบบสุ่มโดยไม่ชี้เฉพาะเจาะจงเพื่อต้องการโฆษณาชวนเชื่อหรือหาแนวร่วมกับความคิดของตน ความคิดนี้ก็ถือว่ามีผลกระทบร้ายแรงอย่างยิ่งต่อสังคม

การนำสื่อมวลชนมาใช้ในการศึกษา จะเกิดประโยชน์กับการศึกษา หรือการเรียนการสอนอย่างไรบ้าง ?
การนำสื่อมวลชนมาใช้ในการศึกษาจะเป็นการให้ข้อมูล ข่าวสาร แก่ประชาชนทั้งความรู้ในด้านวิชาการเฉพาะสาขา และความรู้ทั่วไป โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้คนเกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาคุณภาพชีวิต ไปในทางที่ดีขึ้น เช่น หนังสือพิมพ์นำเสนอบทความที่ให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การเกษตร อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและศิลปวัฒนธรรม โทรทัศน์ นำเสนอรายการ สารคดี การอภิปราย หรือการสนทนาปัญหา ตลอดจนรายการเพื่อการศึกษา ในวิชาการเฉพาะสาขาโดยตรง เช่น รายการโทรทัศน์เพื่อการศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช รายการโทรทัศน์การศึกษาผ่านดาวเทียมของกรมการศึกษานอกโรงเรียน
ประโยชน์ในการนำสื่อมวลชนมาใช้ในการศึกษาอาจจะสรุปได้ดังนี้
1. กระตุ้นความสนใจการรับความรู้ข่าวสารจากสื่อมวลชน เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามความพึงพอใจ ของแต่ละบุคคล แต่แตกต่างจากการเรียนในห้องเรียนที่มีครูบังคับควบคุม ดังนั้นสื่อมวลชนจึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่จะผลิตและนำเสนอความรู้ข่าวสาร ให้มีความน่าสนใจ ความสามรถในการกระตุ้นความสนใจของสื่อสารมวลชนแต่ละประเภทมีระดับที่แตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนำเสนอในแต่ละประเภทด้วย
2. ความเข้าใจเรื่องราวสื่อมวลชนโดยทั่วไป จะเสนอความรู้ข่าวสารที่ผู้รับสามารถรับรู้ และเข้าใจโดยง่าย โดยอาศัยเทคนิควิธีการต่างๆ คือ ตัดแบ่งเนื้อหา นำเสนอทีละน้อย ใช้ภาษาง่ายๆ สำหรับคนทุกระดับ ดัดแปลง แต่งเติม ใช้ความรู้ความสามารถและทักษะของผู้ดำเนินการ ถ่ายทอดเรื่องราวชัดเจนตรงตามความจริง
3. อิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงเจตคติจุดประสงค์ทางการศึกษา ต้องการให้ผู้เรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทั้งด้านความรู้ความจำ ด้านทักษะและความรู้สึกภายในจิตใจ ประสิทธิภาพของสื่อมวลชนนอกจากจะสามารถทำให้เกิดความรู้ความจำและทักษะได้ดีแล้ว ยังมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการเปลี่ยนแปลงเจตคติ ความเชื่อ ค่านิยมของบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่สอนได้ยากด้วยวิธีการสอนทั่วๆไป
4. คุณค่าของเนื้อหาเนื้อหาที่เสนอทางสื่อสารมวลชน มีลักษณะที่เป็นคุณค่าสำคัญ 3 ประเภทคือ
4.1 ความหลากหลาย สื่อมวลชนมักนำเสนอเนื้อหาทุกประเภท
4.2 ความทันสมัย เนื้อหาตามหลักสูตร รวมถึงตำรา แบบเรียน ที่ใช้สอนสำหรับการศึกษาในระบบโรงเรียน
4.3 ความเกี่ยวข้องกับชีวิตและสังคม เนื้อหาที่ทำการสอนในระบบโรงเรียนทั่วไป
5. ความสะดวกในการรับเนื่องจากสื่อมวลชนมุ่งเสนอข่าวสำหรับคนทั่วไป ตามความพร้อมและโอกาสของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะสื่อวิทยุและสิ่งพิมพ์ ที่สามารถรับที่ไหน เมื่อใดก็ได้ จึงส่งเสริมให้เกิดการศึกษาตามปกติวิสัยได้มาก อีกทั้งในปัจจุบันสื่อมวลชนได้เข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนในสังคมมากขึ้น ผู้คนจึงมีโอกาสได้รับความรู้ข่าวสารจากสื่อมวลชนได้ง่าย ทั้งทางตรงและทางอ้อม
6. การลงทุนทางการศึกษาในด้านของผู้รับถือว่าการศึกษาจากสื่อมวลชนเป็นการลงทุนที่ถูกมาก เมื่อเปรียบเทียบ กับการลงทุนของสื่อมวลชน

จะมีแนวทางในการนำสื่อมวลชนมาใช้กับการศึกษาอย่างไร?
คือการที่นำสื่อมาใช้ในการศึกษาแล้วไม่ให้สื่อที่เป็นพิษเป็นภัยแพร่ระบาดในสังคม ซึ่งจัดว่าเป็นการควบคุมในระดับศีลธรรม แนวการจัดหลักสูตรแบบป้องกัน เป็นที่นิยมกันมากในระยะแรกๆ ของการพัฒนาหลักสูตรสื่อมวลชนศึกษา มีพัฒนาการแนวความคิดมาจากการจัดหลักสูตรทางภาษาและวรรณคดีโดยการเลือกเฉพาะสื่อที่ผู้สอนเชื่อว่าไม่มีพิษไม่มีภัยต่อความคิดความเชื่อถือทางศีลธรรมของเด็กและเยาวชน นำมาศึกษาในห้องเรียน นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอิสระอื่นๆ ที่เข้ามาเสริมแนวการจัดหลักสูตรแบบป้องกันให้เข็มแข็งยิ่งขึ้น เช่น มีสมาคมครูผู้ปกครอง หรือองค์กรพัฒนาเอกชนเป็นผู้คอยเฝ้าระวังสภาพแวดล้อมทางสื่อ โดยออกมาคัดค้านสื่อที่ที่มีอิทธิพลต่อการกระตุ้นพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา หรือคัดค้านสื่อลามกที่อาจนำไปสู่การข่มขืน หรือใช้ความรุนแรงทางเพศหลักสูตรสร้างความสามารถเชิงวิพากษ์ในตัวผู้รับสื่อ แนวหลักสูตรนี้เชื่อว่าในสังคมที่ต้องพึ่งพาสื่อประเภทต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆนั้น การสอนให้เด็กและเยาวชนมีทักษะและความรู้เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของสื่อ และเนื้อหาสาระที่เป็นผลิตผลจากกระบวนการดังกล่าว โดยใช้วิธีสอนแบบมีส่วนร่วม ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ ตลอดจนแสดงความคิดเห็นของตนเองผ่านสื่อได้ จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้พวกเขารู้เท่าทันสื่อมวลชนในยุคโลกาภิวัฒน์ การเรียนการสอนตามแนวหลักสูตรนี้ เน้นให้นักเรียนรู้จักสังเกตและตีความสาระในสื่อต่างๆ แนะแนวทางในการรับสาระของสื่ออย่างเลือกสรร

สรุป
พัฒนาการของการสื่อสารในปัจจุบัน สื่อมวลชนมิใช่เพียงสื่อในรูปแบบเก่าที่เคยชินเท่านั้น แต่มีสื่อในรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงเพิ่มเข้ามาอีกหลายอย่าง เช่น การแพร่กระจายของเทปหรือแผ่นบันทึกภาพและเสียง เคเบิลทีวี เครือข่ายคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม สื่อเหล่านี้เข้ามาพร้อมกับกระแสของข่าวสารที่ไหลไปสู่ประชาชนอย่างมหาศาล ยากที่จะหามาตรการมาควบคุม สิ่งที่ประชาชนจะได้รับจากสื่อมวลชน จึงมีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อประชาชนในแง่การศึกษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัญหาที่สำคัญในปัจจุบันจึงอยู่ที่ว่า เราจะให้การศึกษาแก่ประชาชน เพื่อให้เขารู้จักเลือกและใช้ประโยชน์จากสื่อมวลชนอย่างเหมาะสมได้อย่างไรจากผลกระทบที่เกิดจากสื่อมวลชนในด้านต่างๆ ดังกล่าว จำเป็นจะต้องจัดให้ประชาชน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ได้รับการศึกษาเกี่ยวกับสื่อมวลชนในทุกๆด้าน ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการที่ไม่ขัดต่อสังคม